ไหนใครว่าอ้วน!? วิจัยชี้ ถึงเวลาขยับเพดานความอ้วน

เวลาเปลี่ยน นิยามความอ้วนก็เปลี่ยน นักวิจัยที่เดนมาร์กพบว่า คนอ้วนไม่ได้เสี่ยงตายเท่ากับเมื่อ 40 ปีที่แล้ว และเสนอ “เพิ่ม” น้ำหนักให้กับเกณฑ์ “ปกติ”

งานวิจัยของนักวิชาการโรงพยาบาลโคเปนเฮเก้นที่ตีพิมพ์ในวารสารของสมาคมการแพทย์อเมริกันสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่า จากที่เมื่อ 40 ปีก่อน คนน้ำหนักมากเกินมาตรฐานมีอัตราการตายมากกว่าคนน้ำหนักปกติถึงร้อยละ 30 แต่ปัจจุบัน กรณีของประเทศเดนมาร์ก พบว่า ความเสี่ยงโดยเปรียบเทียบลดลงไปเหลือ 0

หรืออาจพอบอกได้ว่า ความอวบในยุคนี้อันตรายน้อยกว่าเมื่อ 40 ปีที่แล้ว

เวลาวัดว่าใครอ้วนใครผอม คิดจากดัชนีมวลกาย หรือ BMI (Body Mass Index) ที่นำส่วนสูงและน้ำหนักมาคำนวณ ถ้าค่า BMI อยู่ที่ 18.5 – 24.9 จะจัดอยู่ในกลุ่มปกติ แต่ถ้า BMI อยู่ที่ 25 – 29.9 จะเข้าข่ายน้ำหนักเกินมาตรฐาน และถ้ามากไปกว่านั้นถูกเรียกว่าอ้วน ซึ่งตั้งแต่ยุค 1970’s เป็นต้นมา การจะบอกว่า BMI เท่าไรจึงแปลว่าดีนั้น ใช้วิธีเทียบกับอัตราการตาย และพบว่ากลุ่มคนที่ตายช้ามีดัชนีมวลกายที่ราว 23.7 นับแต่นั้นมาจึงยึดเลขนี้เป็นมาตรฐานที่บอกถึงร่างกายที่ปกติสมส่วน

งานวิจัยชิ้นใหม่ของนักวิชาการเดนมาร์กนี้พบว่า เมื่อเวลาเปลี่ยนไป ค่า BMI ที่เรียกว่าอยู่ในเกณฑ์สุขภาพดีค่อยๆ เพิ่มขึ้น คือในช่วงปี 1970’s ค่า BMI ปกติคือ 23.7 ต่อมาในปี 1994 ค่า BMI ปกติอยู่ที่ 24.6 จนมาในปี 2013 มันขยับเส้นขึ้นไปถึง 27 หรือเพิ่มขึ้น 3.3 จุดจากเมื่อ 40 ปีก่อนหน้า

หากคิดเรื่องนี้กับน้ำหนักของคนอังกฤษ ค่า BMI เฉลี่ยของชายชาวอังกฤษคือ 27 ส่วนผู้หญิงคือ 26.9 แปลว่าคนส่วนใหญ่ในอังกฤษมีน้ำหนักเกินมาตรฐาน แต่ถ้าคิดตามการขยับเส้นแบบใหม่ แปลว่าคนส่วนใหญ่ในอังกฤษน้ำหนักปกติ

นี่จึงอาจเป็นข่าวดีสำหรับคนที่ทุกข์ใจกับตัวเลขพวกนี้ แต่สำหรับนักวิทยาศาสตร์แล้วก็ยังหาคำอธิบายที่สมเหตุสมผลมาอธิบายการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้ และเสนอว่าควรต้องตั้งคำถามถึงสิ่งที่มาใช้ชีวัดนิยามความอ้วนเสียใหม่ด้วย เช่น สำหรับคนจำนวนหนึ่งที่โครงสร้างกระดูกใหญ่ หรือมีกล้ามเนื้อเยอะ ค่า BMI ก็ย่อมสูง ตัวเลขที่เฟ้อก็จะทำให้การประเมินความเสี่ยงออกมาเวอร์ ขณะเดียวกันการสนใจแต่ตัวเลขก็ทำให้มองข้ามคนที่มีหุ่นแบบลูกแอปเปิ้ล หรืออ้วนตรงช่วงกลางลำตัว ซึ่งก็ไม่ดีต่อสุขภาพเช่นกัน

อย่างไรก็ดี นักวิจัยเตือนว่าแม้จะขยับเส้นความอ้วนแล้ว ก็ยังต้องใส่ใจเรื่องอาหารและออกกำลังให้ร่างกายแข็งแรงไปตามเดิม

ที่มา: VOA, National Post

ภาพจาก: LocalFitness.com.au